服务承诺
资金托管
原创保证
实力保障
24小时客服
使命必达
51Due提供Essay,Paper,Report,Assignment等学科作业的代写与辅导,同时涵盖Personal Statement,转学申请等留学文书代写。
51Due将让你达成学业目标
51Due将让你达成学业目标
51Due将让你达成学业目标
51Due将让你达成学业目标私人订制你的未来职场 世界名企,高端行业岗位等 在新的起点上实现更高水平的发展
积累工作经验
多元化文化交流
专业实操技能
建立人际资源圈Other
2013-11-13 来源: 类别: 更多范文
การเมืองการปกครองเปรียบเทียบ
ศึกษาลักษณะการปกครองของประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส เพื่อเป็นแนวทางทำความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะการปกครองของประเทศ
ไทยในปัจจุบันที่นำลักษณะการปกครองของประเทศต่างๆ เข้ามาปรับปรุงในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2540)
การปกครองประเทศอังกฤษ : ระบบรัฐสภา
รัฐธรรมนูญอังกฤษเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีลายลักษณ์อักษร แต่กระจัดกระจายอยู่ในรูปแบบต่างๆ กันในรูปของพระราชบัญญัติต่างๆ บ้าง เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ปี ค.ศ.1689 พระราชบัญญัติสืบสันตติวงศ์ ปี 1701 เป็นต้น หรือในรูปของข้อตกลงและขนบธรรมเนียม เช่น การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีไม่มีกฎหมายฉบับไหนบ่งบอกให้มีการจัดตั้ง
แต่คณะรัฐมนตรีวิวัฒนาการจากภาคปฏิบัติจนกลายเป็นขนบธรรมเนียมท
ี่ยอมรับกันมาเกือบ 300 ปีแล้ว
รัฐธรรมนูญของอังกฤษ จึงเป็นเรื่องราวของวิวัฒนาการของประวัติศาสตร์การเมือง เกิดขึ้นหรือเป็นผลลัพธ์ของกระบวนการร่วมมือ และการขัดแย้งระหว่างพระมหากษัตริย์และขุนนาง และกว่าจะเข้ารูปเข้ารอยดังเช่นปัจจุบันก็ต้องผ่านสงครามปฏิวัต
ิถึง 2 ครั้งใหญ่ในศตวรรษที่ 17 และยังจะต้องมีการปฏิรูปกันขนานใหญ่ในศตวรรษที่ 19 และ 20 ถึงจะประกฎในรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยดังที่ปรากฏ การต่อสู้ดิ้นรนระหว่างขุนนางอังกฤษและมหากษัตริย์ในอดีต เป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มชนชั้นของตนเองและต
ามแนวความคิดเชื่อถือตามลัทธิศาสนา แต่ผลของการต่อสู้เรื่องนี้ชักนำให้เกิดระบบการปกครองที่กลายเป
็นพื้นฐานของระบบการปกครองประชาธิปไตยในสมัยต่อมาการปกครองของอ
ังกฤษมิได้มีการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยออกเป็น อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ในลักษณะที่ชัดเจน
หลักการปกครองโดยกฎหมาย (Rule of Law)
หลักการปกครองโดยกฎหมายของอังกฤษ เป็นหลักที่มีความหมาย 3 ประการ คือ
1. ต้องไม่ใช้กำลังปกครอง ต้องใช้กฎหมายปกครอง ประชาชนต้องเคารพกฎหมาย
2. คนอังกฤษถูกปกครองโดยกฎหมายและโดยกฎหมายเท่านั้น การจะลงโทษหรือจับกุมคนอังกฤษโดยปราศจากการไต่สวนตามกระบวนการข
องกฎหมายและโดยไม่มีความผิดตามที่ระบุไว้ในกฎหมายจะกระทำมิได้
3. อำนาจของพระมหากษัตริย์และรัฐมนตรีนั้นมีต้นกำเนิดมาจากพระราชบ
ัญญัติของรัฐสภา
ทั้งนี้ ประเทศอังกฤษยังมีหลักการจำกัดอำนาจของกษัตริย์ หรือผู้ปกครองนี้กับหลักสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล เป็นหลักประกันให้เกิดระบบเผด็จการ ซึ่งมาจากการปฏิวัติที่รุ่งโรจน์ ปี ค.ศ.1688 โดยได้กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (The Bill of Rights) ปี ค.ศ.1689 และพระราชบัญญัตินี้ได้กำหนดข้อจำกัดของอำนาจพระมหากษัตริย์ที่
จะกระทำการใดๆ โดยไม่ปรึกษารัฐสภาไม่ได้
หลักอำนาจสูงสุดของรัฐสภา (Supremacy of Parliament)
อำนาจสูงสุดหรืออธิปไตยเป็นของรัฐสภา หมายความว่า รัฐสภามีสิทธิที่จะออกกฎหมาย หรือยกเลิกกฎหมายใดๆ ก็ได้ และไม่มีผู้ใดในอังกฤษที่จะเพิกเฉย หรือละเมิดต่อกฎหมายของรัฐสภา หลักของอำนาจสูงสุดของรัฐสภานี้หมายความว่า ในระบบการปกครองของอังกฤษ อธิปไตยอยู่ที่องค์กรรัฐสภาอันประกอบด้วย สภาขุนนาง สภาผู้แทน และพระมหากษัตริย์ ฉะนั้น แม้ว่าจะมีการแบ่งหน้าที่กันทำ คือ คณะรัฐมนตรีในฐานะเป็นคณะรัฐบาลของพระมหากษัตริย์ทำหน้าที่บริห
าร แต่อำนาจสูงสุดอยู่ที่รัฐสภา ซึ่งสามารถควบคุมการปฏิบัติงานของคณะรัฐมนตรี ตลอดจนสามารถทำหน้าที่เป็นศาลสูงสุดด้วย การทำหน้าที่เป็นศาลสูงนั้นเป็นบทบาทในส่วนของสภาขุนนาง (House of Lords)
รัฐธรรมนูญอังกฤษนั้นจึงไม่ได้แบ่งแยกอำนาจอธิปไตย แต่เป็นการแบ่งบทบาทหน้าที่ ฉะนั้นจึงมีกระบวนการ รวมอำนาจไว้ที่รัฐสภา (Fusion of Power) แต่ก็มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกันที่เรียกว่า Organic Link โดยสถาบันรัฐสภา
การที่รัฐสภาอังกฤษวิวัฒนาการในรูปนี้ เป็นเรื่องของเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์มิได้มีความจงใจจะให้เกิ
ดระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใด อำนาจของรัฐสภามีเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นเพียงให้ความร่วมมือในการ
เพิ่มภาษีของพระมหากษัตริย์ ต่อมากลายเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ ต่อมาอีกรัฐสภาก็เริ่มมีอำนาจในด้านออกกฎหมาย ซึ่งเริ่มต้นเป็นการตรากฎหมาย เพื่อแก้ไขขจัดข้อเดือดร้อนของประชาชนเท่านั้น ต่อมาขยายไปเป็นอำนาจนิติบัญญัติทั่วไป
ส่วนตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มาจาการที่พระเจ้ายอร์จที่ 1 (George I) แห่งราชวงศ์ Hannover ซึ่งทรงได้รับการเชิญให้มาปกครองประเทศอังกฤษในช่วง ค.ศ.1715 ซึ่งราชวงศ์นี้มาจากเยอรมันนี พระองค์จึงทรงไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ ได้ทรงมอบหมายงานการประชุมสภาเสนาบดีให้แก่ เซอร์โรเบิร์ต วอลโปล ทำหน้าที่เป็นประธาน นี้คือจุดกำเนิดของตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ซึ่งตอนนั้น เซอร์โรเบิร์ต วอลโปล ได้รับสมญานามภายหลังว่า “Primus Inter Pares” หรือ First among Equals คือ ผู้อันดับ 1 ในจำนวนผู้ที่เท่ากัน นั้นคือตำแหน่ง Prime Minister ซึ่งเป็นชื่อเรียกสมัยต่อมา ในการคัดเลือกรัฐมนตรีก็คัดเลือกจากบุคคลที่จะได้รับเสียงสนับส
่วนใหญ่จากรัฐสภา นี้คือจุดเริ่มต้นระบบคณะรัฐมนตรี ซึ่งเปรียบเสมือนคณะกรรมการของรัฐสภาที่สมาชิกเลือกขึ้นมา เพื่อทูลเกล้า ให้พระมหากษัตริย์แต่งตั้ง
ผลของการปฏิบัติดังกล่าว ได้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในสมัยต่อๆ มา สมัยนี้ธรรมเนียมปฏิบัติจะกำหนดให้พระมหากษัตริย์แต่งตั้งบุคคล
ที่เป็นหัวหน้าพรรคที่ได้รับเสียงข้างมากในรัฐสภา และเมื่อนายกรัฐมนตรีคนไหนไม่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐสภา ก็จะต้องเชิญหัวหน้า ฝ่ายค้าน ซึ่งได้รับเสียงส่วนมากเข้าจัดตั้งรัฐบาลแทน และรัฐบาลต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อนโยบาย หากผู้ใดไม่เห็นชอบด้วยกับนโยบาย ต้องลาออก ขณะเดียวกันก็วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของคณะรัฐมนตรีไม่ได้ ขนบธรรมเนียมนี้ค่อยๆ วิวัฒนาการมาจากภาคปฏิบัติ ซึ่งเมื่อมีรัฐมนตรีท่านหนึ่งยึดถือปฏิบัติ ท่านอื่นๆ ในภายหลังก็ปฏิบัติตาม
การขยายสิทธิการเลือกตั้งให้แก่ประชาชนทั่วไป
ในศตวรรษที่ 18 รัฐธรรมนูญฉบับที่ร่างออกมายังเรียกว่าประชาธิปไตยไม่ได้ เพราะผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งยังคงเป็นชนชั้นผู้มีทรัพย์สมบัติ ในปลายศตวรรษที่ 18 ได้เริ่มเกิดขบวนการปฏิรูปรัฐสภา และขบวนการของพวก Radlicals ซึ่งต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมตามแผนการปฏิวัติฝรั่งเศส แต่สงครามนโปเลียนที่ยืดยาว ทำให้ขบวนการปฏิรูปพบกับอุปสรรคและแรงต้านทานจากชนชั้นต่างๆ จนกระทั่ง ค.ศ.1830 เหตุการณ์จึงเปลี่ยนแปลงไป และรัฐสภาได้ยอมรับแนวคิดการปฏิรูปโดยผ่าน พระราชบัญญัติปฏิรูป ค.ศ.1832 (Great Reform Act) ซึ่งขยายสิทธิการเลือกตั้งให้แก่ชนชั้นกลางระดับสูง และได้ปรับเขตการเลือกตั้งให้เมืองอุตสาหกรรมใหม่ได้มีผู้แทน ต่อมาในปี ค.ศ.1867 ได้มีการเปลี่ยนแปลงอีก โดยให้สิทธิการเลือกตั้งแก่กรรมกรในเมืองอีกหนึ่งล้านคน ใน ค.ศ.1884 ได้ให้สิทธิ์แก่กรรมกรในเขตชนบท ค.ศ.1918 ชายทุกคนอายุ 21 ปีขึ้นไป มิสิทธิ์ และสตรีอายุ 30 ปีขึ้นไป ปี ค.ศ.1928 สตรีอายุ 21 ปีขึ้นไปจึงมีสิทธิ์ต้องใช้เวลาประมาณ 100 ปี ประชาชนผู้มีอายุ 21 ปีขึ้นไป ทุกคนจะมีสิทธิ์ ประชาธิปไตยอังกฤษใช้เวลานานมากในการย่างก้าวไปสู่การบรรลุนิติ
ภาวะ จากการที่ขยายสิทธิทางการเมืองอย่างช้าๆ เช่นนี้ มีผลอย่างหนึ่ง คือ ทำให้ผู้ที่จะได้สิทธิ์ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิ
์ทุกๆ ขั้นตอน และเมื่อได้มาแล้วก็รู้จักใช้สิทธิ์อย่างผู้รับผิดชอบ ฉะนั้น ในช่วงหลังของศตวรรษที่ 19 จะไม่เคยได้ยินได้ฟังปัญหาของการซื้อเสียงอีกเลย
ความสัมพันธ์ระหว่างสภาขุนนาง และสภาสามัญ
ภายหลังการปฏิวัติรัฐสภา ปี ค.ศ.1688 สภาขุนนางเป็นสภาที่มีอิทธิพลสูงสุด ซึ่งควบคุมการดำเนินการทางการเมืองของสภาสามัญ ผู้แทนฯ ในสภาสามัญส่วนใหญ่ ก็คือ ญาติพี่น้อง หรือผู้ใกล้ชิดของขุนางส่วนมาก และตัวนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีส่วนหนึ่งก็มาจากสภาขุนนาง ต่อมาเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงผู้มีคุณสมบัติเลือกตั้ง ขยายสิทธิให้แก่ประชาชนส่วนใหญ่ และชนชั้นกลางจากเมืองอุตสาหกรรมเริ่มเข้ามามีเสียงในสภาสามัญ อิทธิพลของสภาสามัญเริ่มสูงมากขึ้น จนในที่สุดอำนาจในสภาขุนนางในการที่จะยับยั้งกฎหมาย และพระราชบัญญัติการเงินได้เริ่มลดลง ใน ค.ศ.1911 ได้มีพระราชบัญญัติลดอำนาจสิทธิการยับยั้ง ของสภาขุนนางไว้อย่างชัดเจนนับตั้งแต่นั้นมา ผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี จึงมาจากสภาสามัญศูนย์กลางของการเมืองจึงอยู่ที่สภาสามัญ (House of Commons)
ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา
รัฐสภาเป็นศูนย์กลางของการปกครอง อำนาจอธิปไตยอยู่ที่สถาบันนี้ในเวลาปกติที่ไม่มีการเลือกตั้ง ไม่มีการแบ่งแยกอำนาจออกเป็น 3 ส่วนอย่างเด็ดขาด การแบ่งแยกเป็นบทบาทและหน้าที่มากกว่า เมื่อรูปแบบการปกครองมีลักษณะดังกล่าวประเด็นคำถามที่ตามมา ก็คือ จะป้องกันมิได้เกิดเผด็จการทางรัฐสภาได้หรือไม่
คำตอบก็คงจะเป็นว่า เผด็จการทางรัฐสภาคงไม่เกิดขึ้น แต่รูปแบบนี้ช่วยส่งเสริมให้รัฐบาลที่คุมเสียงข้างมากในรัฐสภาบ
ริหารงานตามเป้าหมายได้สะดวกยิ่งขึ้น แต่จะบริหารงานอย่างราบรื่น มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองซึ่งบังเอิญของอังกฤษเป็น ระบบสองพรรค คือมีพรรคใหญ่ๆ 2 พรรคเมื่อพรรคหนึ่งเป็นรัฐบาล อีกพรรคหนึ่งก็เป็นฝ่ายค้าน
ฉะนั้น จึงมักกล่าวกันว่า นายกรัฐมนตรีอังกฤษนั้น เมื่อได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคการเมืองของตนซึ่งคุมเสียงส่วน
ใหญ่ในรัฐสภาแล้ว จะมีอำนาจบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าประธานาธิบดีของสห
รัฐเสียอีก แต่อำนาจของฝ่ายบริหารซึ่งดูจะมีมากตามระบบนี้ ก็ยังมิใช่อำนาจเผด็จการ ทั้งนี้ เพราะขนบธรรมเนียมได้ยอมรับให้มีฝ่ายค้านในรัฐสภา โดยหัวหน้าพรรคของฝ่ายค้านจะได้รับการยอมรับว่าเป็น นายกรัฐมนตรีเงา ได้รับเงินเดือนมาเป็นพิเศษสูงกว่าผู้แทนราษฎร พรรคฝ่ายค้านนี้จะทำหน้าที่ยับยั้งมิให้ฝ่ายรัฐบาลสามารถดำเนิน
การใดๆ ที่ขัดต่อผลประโยชน์ของส่วนรวม เพราะในที่สุดประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินว่าใครผิดใครถูก โดยเฉพาะในสมัยเลือกตั้งซึ่งจะต้องมีขึ้นทุกๆ 5 ปี หรือภายในเวลา 5 ปี ฝ่ายค้านจึงเป็นกลไกของการถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายรัฐบาล
รัฐธรรมนูญอังกฤษเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวในโลกที่วิวัฒนาการตาม
เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อังกฤษ แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ได้คิดถึงสิทธิหรืออุดมการณ์จะเป็นประชา
ธิปไตยโดยตรง แต่ต่อสู้ดิ้นรนเพื่ออำนาจและประโยชน์ของชนชั้นของตนเอง
การปกครองประเทศสหรัฐอเมริกา : ระบบประธานาธิบดี
รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาเป็นรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรฉบับที่
เก่าแก่ที่สุดในโลกปัจจุบัน โดยเริ่มต้นจากการที่ผู้แทนของรัฐต่างๆ 12 รัฐที่มาประชุมกันที่เมืองฟิลาเดลเฟีย ปี ค.ศ.1787 นั้นโดยเจตนาจะมาเพื่อแก้ไขมาตราของรัฐธรรมนูญของสมาพันธรัฐเดิ
ม แต่เมื่อมาถึงแล้วกลับกลายมาเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยทั้ง 55 คนที่ร่างรัฐธรรมนูญใหม่นี้ส่วนมากมีพื้นเพจากชนชั้นที่มีทรัพย
์ ส่วนมากจะเอียงไปทางอนุรักษ์นิยม มีความเกรงกลัวเรื่องผลของความรุนแรงจากพลังประชาธิปไตย อันที่จริงเขาเหล่านี้พื้นเพเดิม คือ มีบรรพบุรุษที่อพยพมาจากอังกฤษ จึงได้รับการศึกษาแบบอังกฤษ ความคิดทางการเมืองของนักปรัชญา เช่น จอห์น ล็อก และมองเตสกิเออร์ มีอิทธิพลต่อกลุ่มผู้นำเหล่านี้มาก นอกจากนี้ กลุ่มผู้นำเหล่านี้ยังได้ผ่านสงครามกู้อิสรภาพปลดแอกจากอังกฤษ ฉะนั้น จึงรู้คุณค่าของอิสรภาพเป็นอย่างดี และซาบซึ้งว่าการปกครองมิใช่เรื่องการให้เสรีภาพแต่เพียงอย่างเ
ดียว แต่เป็นเรื่องของการจัดตั้งรัฐบาลที่เข้มแข็งเพื่อจะบริหารประเ
ทศได้ รูปแบบการปกครองแบบสมาพันธรัฐขณะนั้น ไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลกลางเลยมีแต่สภาคองเกรส ซึ่งสภาคองเกรสจะผ่านพระราชบัญญัติใดๆ ได้ ก็ต่อเมื่อได้รับเสียงสนับสนุน 9 จาก 13 เสียง และถ้าหากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ต้องได้รับความเห็นชอบเป็น
เอกฉันท์จากทุกรัฐ
ในเมื่อระดับประเทศไม่มีรัฐบาลกลางที่จะมาจัดเก็บภาษี และไม่มีกองทัพของชาติที่จะปกป้องประเทศ สหรัฐจึงประสบปัญหาในการบริหารมากมาย เช่น ปัญหาของการใช้หนี้สงครามที่ผ่านไป ปัญหาต่างประเทศ ปัญหาการป้องกันประเทศ ปัญหาภัยจากเผ่าอินเดียนแดง ปัญหาของการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ เป็นต้น
ฉะนั้น กลุ่มผู้นำจาก 12 รัฐ ที่มาประชุม (ขาดผู้แทนรัฐโรด ไอซ์แลนด์ 1 รัฐ) จึงเป็นผู้มีอุดมคติและมีประสบการณ์ที่ค่อนข้างลบจากรูปแบบการป
กครองสมาพันธรัฐ เขาเหล่านั้นจึงเปลี่ยนใจจากเดิมที่มีเจตนามณ์จะมาแก้ไขรัฐธรรม
นูญเดิม ก็กลายเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ในบรรดาผู้นำ 55 คนนี้ มีนักคิด นักปรัชญา และรัฐบุรุษในอดีตและอนาคตหลายท่าน เช่น ยอร์จ วอชิงตัน เบนจามิน แฟรงคลิ และเจมส์ เมดิสัน เมดิสันนั้นถือกันว่า เป็นผู้สะท้อนความคิดของคนสมัยนั้นมากที่สุด จากการที่เขามีแนวความคิดก้าวหน้า ขณะเดียวกันก็ไม่หลงใหลหรือหลงละเมอกับคำว่า “เสียงของประชาชน” เสมอไป เขาคิดว่า มนุษย์เรามักเข้าข้างตนเอง สามารถทำความชั่วได้เสมอ ฉะนั้น จำเป็นต้องหาวิธีการที่จะเป็นสองอย่างควบคู่กันไป คือ ประการแรก จะต้องหาวิธีการสร้างรัฐบาลกลางให้เข็มแข็งพอที่จะปกครองคนได้ และประการที่สอง จะต้องหาวิธีการที่จะสร้างกลไกเพื่อให้รัฐบาลควบคุมตนเอง ในการสร้างรัฐบาลเพื่อให้มนุษย์ปกครองมนุษย์กันเอง ความยากลำบากจึงอยู่ที่ว่า ประการแรก จะต้องให้อำนาจแก่รัฐบาลกลางเพื่อที่จะสามารถควบคุมผู้อยู่ใต้ป
กครองได้ กำหนดให้รัฐบาลสามารถควบคุมตนเองได้ และจำเป็นจะต้องมีมาตรการที่จำเป็นไว้เพื่อป้องกันผลเสียหาย เสรีภาพและเสถียรภาพมั่นคงระหว่างการสร้างรัฐบาลชาติให้มีอำนาจ
ปกครองประเทศได้ ขณะเดียวกันธำรงรักษาสิทธิเสรีภาพของมลรัฐที่จะปกครองตนเองในระ
ดับหนึ่ง
หลักการของรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา
1.รัฐธรรมนูญสร้างระบบการปกครองแบบสมาพันธรัฐ (Federation) เป็นรูปแบบที่มีทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลของมลรัฐต่างๆ ประเด็นคือ จะแบบอำนาจกันอย่างไรระหว่างสองระดับนี้
มาตรา 1 ส่วนที่ 8 ได้กำหนดอำนาจของสภาคองเกรสไว้อย่างชัดเจน เช่น อำนาจที่จะจัดเก็บภาษีอากร ใช้หนี้รัฐบาล จัดการป้องกันประเทศ การกู้ยืมหนี้สิน การออกระเบียบกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการค้ากับต่างประเทศและระหว่างมล
รัฐต่างๆ อำนาจที่จะผลิตเงินตราและกำหนดค่าของเงินตรา จัดตั้งกองทัพ ประกาศสงคราม และออกพระราชบัญญัติ “ที่จำเป็นและเหมาะสม” เพื่อดำเนินการตามนโยบายและอำนาจหน้าที่ดังกล่าว ในขณะเดียวกันใน มาตรา 1 ส่วนที่ 10 ก็ได้จำกัดอำนาจของมลรัฐในหลายๆ เรื่อง เช่น ห้ามมิให้มลรัฐทำสัญญากับต่างประเทศ ห้ามผลิตเงินตรา เป็นต้น ต่อมาได้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 10 กำหนดว่า อำนาจที่มิได้กำหนดให้เป็นของสหรัฐ และยังมิได้เป็นข้อห้ามสำหรับมลรัฐให้เป็นอำนาจของมลรัฐ นี่คือหลักที่เรียกกันว่า “อำนาจที่ยังคงเหลือ” ของรัฐ (Residual Power ขณะเดียวกันในมาตรา 6 ส่วนที่ 2 ของรัฐธรรมนูญก็กำหนดไว้อีกว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้และกฎหมายของรัฐที่จะออกภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ
นี้ จะมีความเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ผู้พิพากษาในทุกๆ มลรัฐจะต้องยึดถือกฎหมายเหล่านี้เป็นแนวปฏิบัติ เรียกกันว่า หลักของกฎหมายสูงสุด (Supremacy Clause)
นอกจากนั้น ยังมีการประนีประนอมที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งระหว่างมลรัฐด้วยกัน
อง โดยกำหนดให้สภาคองเกรสประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา สำหรับสภาผู้แทนราษฎรจะใช้หลักการเลือกตั้งโดยตรง บนพื้นฐานของจำนวนประชากรผู้มีสิทธิ ส่วนวุฒิสภากำหนดให้แต่ละรัฐส่งสมาชิกให้รัฐละ 2 คน
2.รัฐธรรมนูญสร้างระบบการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of Powers) ผู้ร่างรัฐธรรมนูญยังไม่พอใจเพียงการแบ่งอำนาจระหว่างรัฐบาลกลา
งกับรัฐบาลมลรัฐเท่านั้น ยังต้องแยกอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ โดยกำหนดให้สภาคองเกรสมีอำนาจนิติบัญญัติ ประธานาธิบดีอำนาจบริหาร และศาลมีอำนาจตุลาการ ตามหลักของมองเตสกิเออร์ ในการแบ่งแยกอำนาจนี้ยังได้แยกสถาบันฝ่ายบริหารออกจากสภานิติบั
ญญัติค่อนข้างจะเด็ดขาด กล่าวคือ ทั้งสองสถาบันมีฐานอำนาจ แยกกัน ประธานาธิบดีได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน มีวาระสมัย 4 ปี แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีของท่านเอง สภาคองเกรสไม่มีอำนาจจะล้มรัฐบาล ส่วนสภาคองเกรส ก็เช่นกัน ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีวาระสมัย 2 ปี และ สำหรับวุฒิสภามีวาระสมัย 6 ปี ประธานาธิบดีไม่สามารถยุบสภา
คองเกรสได้
3.รัฐธรรมนูญสร้างระบบตรวจสอบและคานอำนาจ (Checks and Balance) นอกจากจะแบ่งแยกอำนาจแล้ว ผู้ร่างรัฐธรรมนูญยังกำหนดให้มีการตรวจสอบหรือคน อำนาจซึ่งกันและกันได้ เช่น สภาคองเกรสมีอำนาจในการออกพระราชบัญญัติ แต่ประธานาธิบดีมีสิทธิที่จะยับยั้งได้ (Veto) อย่างไรก็ตาม เมื่อประธานาธิบดีได้ใช้สิทธิยับยั้งแล้ว หากร่างพระราชบัญญัตินั้นได้ผ่านการพิจารณาของสภาคองเกรสเป็นคร
ั้งที่สอง โดยได้รับเสียงสนับสนุน 2 ใน 3 ก็จะออกเป็นกฎหมายได้ในทางกลับกันประธานาธิบดีเป็นผู้มีอำนาจ แต่งตั้งผู้พิพากษาในศาลสูงสุดและรัฐมนตรี แต่การเสนอเพื่อแต่งตั้งนี้จะต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาเ
สียก่อน ผู้พิพากษานั้นเมื่อได้รับแต่งตั้งแล้ว แต่สภาคองเกรสก็สามารถที่จะกล่าวโทษผู้พิพากษาได้เมื่อมีเหตุหร
ือมลทินมัวหมอง ในทำนองเดียวกันว่าศาลสูงสุดมีอำนาจที่จะประกาศว่ากฎหมายใดขัดก
ับรัฐธรรมนูญ
4.รัฐธรรมนูญยึดหลักของการจัดตั้งรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งจาก
ประชาชน หลักการที่เป็นแม่บทการปกครองของรัฐธรรมนูญสหรัฐ คือ หลักของการปกครองโดยความยินยอมเห็นชอบของประชาชน หลักการนี้จะบรรลุเป้าหมายได้ต่อเมื่อจัดให้มีระบบการเลือกตั้ง
ในทุกตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับอำนาจการปกครอง
ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีได้รับการเลือกตั้งโดยคณะผู้เลื
อกตั้ง ซึ่งได้รับอาณัติจากประชาชนให้มาเลือกประธานาธิบดี ส่วนผู้แทนราษฎรในสภาล่างและวุฒิสมาชิกได้รับการเลือกตั้งเช่นก
ัน ผู้พิพากษาอาจจะไม่ได้รับการเลือกตั้ง แต่ประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งตั้งโดยความเห็นชอบของวุฒิสภา
ฉะนั้น จะเห็นได้ว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญมีศรัทธาต่อระบบการเลือกตั้งมาก และเชื่อมั่นว่า รัฐบาลที่เป็นตัวแทนของประชาชนนี้จะเป็นรัฐบาลที่เลวน้อยที่สุด
เพราะทุกคนที่ได้รับการเลือกตั้งย่อมต้องมารับผิดชอบต่อผู้เลือ
กตนในสมัยการเลือกตั้งครั้งต่อไป
5.หลักของสิทธิเสรีภาพของมนุษยชน หลักของสิทธิเสรีภาพเป็นหลักขั้นมูลฐานที่จะอำนวยให้ระบบการปกค
รองแบบเลือกตั้งได้เป็นประชาธิปไตยได้สมบูรณ์แบบ
โดยสรุป รูปแบบการปกครองของสหรัฐ อาจจะเรียกได้ว่า ประชาธิปไตยพหุนิยม (Pluralist Democracy) คือ อำนาจการปกครองกระจัดกระจายอยู่หลายขั้วหลายศูนย์ นอกจากนั้นยังมีรูปแบบของระบบประธานาธิบดีซึ่งรวมบทบาทของประมุ
ขและของนายกรัฐมนตรีไว้ในคนๆ เดียวกัน จุดเด่นของรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีคุณสมบัติตรงที่มีความเรียบง่าย (Simplicity) ไม่กำหนดรายละเอียดมากมาย แต่เปิดทางกว้างๆ ไว้เพื่อให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในอน
าคต
การปกครองฝรั่งเศส : ระบบสาธารณรัฐที่ 5 จากยุคสมัยการปฏิวัติ ค.ศ.1789 ได้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่น้อยกว่า 9 ฉบับ ในรอบ 200 ปี เนื่องด้วยอุปนิสัยของชาวฝรั่งเศสที่ชอบลัทธิอุดมการณ์ และชอบความแตกต่างระหว่างบุคคล ในสมัยสาธารณรัฐที่ 4 ซึ่งใช้รัฐธรรมนูญฉบับหนึ่ง เสถียรภาพของคณะรัฐบาลมีปัญหามากที่ ในช่วงเวลา 12 ปี ของสาธารณรัฐนี้ (1946-1958) มีรัฐบาลถึง 13 ชุด แต่ในรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐที่ 5 รัฐบาลแต่ละชุดอยู่ได้ยั่งยืนมาก และนี่ก็ปกครองกันมาถึง 32 ปี แล้วยังมีเถียรภาพดีอยู่
ฉะนั้น ทั่วโลกจึงสนใจรัฐธรรมนูญฉบับที่นายพลเดอโกลได้จัดตั้งขึ้นมากว
่า มีเคล็ดลับที่ทำให้ชนชาติฝรั่งเศสที่มีอารมณ์ผันแปรง่าย เดินขบวนง่าย กบฏก็ง่าย ปฏิวัติก็ง่าย แต่บัดนี้กลับสงบเงียบ และยังไม่มีทีท่าอยากจะเปลี่ยนไปเป็นระบบอื่น ประเทศฝรั่งเศสในสมัยเริ่มแรกก็มีระบบการปกครองคล้ายคลึงกับของ
อังกฤษในสมัยยุคศักดินา คือ อำนาจการปกครองกระจัดกระจายไปอยู่ที่ขุนนางต่างๆ กษัตริย์ฝรั่งเศสในสมัยกลางมีความอ่อนแอกว่าของอังกฤษมาก บางยุคสมัยปกครองได้เพียงครึ่งหนึ่งของประเทศในปัจจุบัน อาจจะเป็นเพราะสภาพการณ์เช่นนั้น จึงทำให้กษัตริย์ฝรั่งเศสมุ่งสร้างอำนาจส่วนกลางมากจนกระทั่งใน
สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่14 กษัตริย์ฝรั่งเศสที่ชาวยุโรปถือกันว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้ป
กครอง คือ มีอำนาจมาก ได้จัดระเบียบการคลัง การปกครองทำให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพสูง ถือกับทรงกล่าวเกี่ยวกับพระองค์เองว่า “รัฐคือตัวข้าพเจ้า” หรือ “ตัวข้าพเจ้าคือรัฐ” และเพราะความเข้มแข็งของพระมหากษัตริย์ ความเป็นอยู่ของขุนนางก็เริ่มเหินห่างจากประชาชนในชนบท หลังจากในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ไม่มีกษัตริย์ที่ทรงเข้มแข็งและอัจฉริยะ และเกิดปัญหารายจ่ายสูงกว่ารายได้ เพราะการสงครามนอกประเทศ ระบบการคลังเริ่มล้มเหลว ขณะเดียวกัน ขุนนางไม่ได้เอาใจใส่ต่อการปรับปรุงที่ดินของตน คอยแต่จะรีดภาษีและส่วยของราษฎร ทำให้เกิดระบบการกดขี่และระบบอภิสิทธิ์มากมาย ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจลดน้อยลง ประจวบกับการตื่นตัวทางความคิด นักปรัชญาเมธีเริ่มเผยแพร่ลัทธิ และแนวคิดใหม่ในเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ระบบการปกครองก็ไม่สามารถจะปรับตัวให้ทันกับปัญหาและการเปลี
่ยนแปลงเหล่านี้
ในที่สุดได้เกิดการปฏิวัติครั้งยิ่งใหญ่ในปี ค.ศ.1789 และเกิดการต่อสู้และความรุนแรงทางความคิดระหว่างกลุ่มการเมืองต
่างๆ ในช่วง 1789-1795 ทำให้ชาวฝรั่งเศสแตกแยกทางความคิด และด้วยความเป็นชนชาติเชื้อสายละตินซึ่งมีอารมณ์ศรัทธาในแนวคิด
ของตนเองอย่างมาก จึงไม่มีการประนีประนอมกัน
ความขัดแย้งกันและปัญหาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ จะข้อนำมาเป็นประเด็นในการพิจารณา โดยจะเปรียบเทียบร่างรัฐธรรมนูญปี 1946 ซึ่งพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายมีอิทธิพลในการร่าง กับรัฐธรรมนูญ ปี ค.ศ.1958 ซึ่งนายพลชาร์ล เดอ โกล และนักการเมืองฝ่ายขวามีอิทธิพลในการร่าง
ประการแรก ควรจะตั้งเป็นข้อสังเกตเบื้องต้นว่า เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับแรกของฝรั่งเศสเกิดจากการปฏิวัติครั้งส
ำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์อุดมการณ์ของนักปฏิวัติจึงมีอิทธิพลต
่อรัฐธรรมนูญนี้ และฉบับอื่นๆ ที่ตามมา อุดมการณ์เหล่านี้ สรุปเป็นคำขวัญได้ 3 วลี คือ ความเสมอภาค เสรีภาพ และภราดรภาพ ซึ่งจะปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐที่ 4 และที่ 5 นอกจากนั้น ยังกล่าวถึงหลักอธิปไตยเป็นของปวงชนและเจตนาที่จะสร้างระบบการป
กครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งหมายถึง การปกครองของประชาชน เพื่อประชาชน อุดมการณ์ทางการเมืองเหล่านี้ไม่ปรากฏในรัฐธรรมนูญอังกฤษหรืออเ
มริกา
ประการที่สอง เนื่องจากฝรั่งเศสเริ่มประวัติศาสตร์สมัยใหม่โดยการล้มระบบกษัต
ริย์ ฉะนั้นระบบสาธารณรัฐจึงเป็นทางเลือกที่ต้องเลือก ในระบบของฝรั่งเศส จะแยกอำนาจหน้าที่ของประธานาธิบดีออกจากอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐ
มนตรี
เมื่อได้แยกบทบาทเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของประธานาธิบดีซึ่งจะทำหน้าที่คล้ายๆ กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และส่วนของนายกรัฐมนตรีจึงมีประเด็นปัญหาเกิดขึ้นในเรื่องความส
ัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรี
การร่างรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ เพื่อแบ่งแยกบทบาทหน้าที่และความสัมพันธ์ของสองตำแหน่งนี้ จึงมีปัญหาอยู่เสมอในรัฐธรรมนูญปี 1946 ของสาธารณรัฐที่ 4 อำนาจของประธานาธิบดีจะน้อยกว่าในรัฐธรรมนูญปี 1958 ของสาธารณรัฐที่ 5
ประการแรก ในฉบับ 1946 รัฐสภาเป็นผู้เลือกตั้งประธานาธิบดี แต่ในฉบับ 1958 ผู้เลือกตั้งคือ สมาชิกของรัฐสภา นายกเทศมนตรี และสมาชิกสภาท้องถิ่น ซึ่งทำให้ฐานอำนาจของประธานาธิบดีของสาธารณรัฐที่ 5 กว้างกว่าในสมัยสาธารณรัฐที่ 4 ต่อมาในปี ค.ศ.1962 ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้ประชาชนผู้มีคุณสมบัติเลือกตั้งเป็นผู้เลือกตั้งประธานาธ
ิบดีโดยตรง ซึ่งทำให้ฐานอำนาจของประธานาธิบดีเป็นอิสระจากรัฐสภา
ประการที่สอง ในรัฐธรรมนูญ 1946 ประธานาธิบดีมีอำนาจเสนอตัวนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่การแต่งตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อสมาชิกรัฐสภาเห็นชอบด้วยเสียก่อน
แต่ในรัฐธรรมนูญ 1958 ประธานาธิบดีแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง นอกจากนั้นประธานาธิบดีจะมีบทบาทที่เด่นชัดในเรื่องการต่างประเ
ทศและมีอำนาจประกาศสภาวะฉุกเฉิน อำนาจที่จะขอประชามติทั่วประเทศในเรื่องที่สำคัญของชาติ เรื่องเกี่ยวกับประชาคมยุโรป สนธิสัญญาระหว่างประเทศ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ประการที่สาม ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติในรัฐธรรมนูญ 1946 ยังเป็นความสัมพันธ์ที่คล้ายกับรัฐธรรมนูญอังกฤษ กล่าวคือ รัฐสภาจะเป็นผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีและตัวรัฐมนตรีก็มาจากสมา
ชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา แต่ได้ฉบับ 1958 ได้แบ่งแยกฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายนิติบัญญัติคล้ายกับของสหรัฐ ซึ่งก็คือ ผู้ที่เป็นรัฐมนตรีต้องลาออกจากสมาชิกภาพของสภาผู้แทนราษฎรหรือ
วุฒิสภา ในฉบับปี 1946 ให้อำนาจสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้นที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ แต่ในฉบับ 1958 ได้ให้อำนาจทั้งสองสภาที่จะอภิปรายไม่วางใจ ทั้งนี้ทั้งสองฉบับกำหนดไว้เหมือนกันว่าก่อนลงคะแนนเสียงต้องใช
้เวลา 24 ชั่วโมง หลังจากยุติการอภิปรายไปแล้ว เพื่อให้สมาชิกได้มีโอกาสทบทวนความรู้สึกต่างๆ
ในรัฐธรรมนูญฉบับ 1946 ได้ให้อำนาจแก่นายกรัฐมนตรีที่จะเสนอให้ประธานาธิบดียุบสภาได้ แต่จะกระทำไม่ได้ในช่วง 18 เดือนแรก ยกเว้นแต่สภาผู้แทนฯ ได้เสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2 ครั้ง ในช่วง 18 เดือนนี้ แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้ลดช่วงเวลา 18 เดือน เหลือเพียง 1 ปี
ประการที่สี่ ได้มีการแก้ไขจากแต่เดิมที่มีสภาเดียว คือ สภาผู้แทน ให้มีสองสภา แต่ก็ยังกำหนดให้วุฒิสภามีอำนาจน้อยลงให้เป็นเพียงกลั่นกรองงาน
เท่านั้น
โดยสรุป รัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับของฝรั่งเศสแตกต่างกันในแง่การมอบอำนาจให
้แก่ประธานาธิบดีซึ่งมีมากขึ้นในปัจจุบัน เช่น อำนาจในการยุบสภา อำนาจการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี อำนาจในการประกาศสภาวะฉุกเฉิน และอำนาจในการควบคุมนโยบายการต่างประเทศและการป้องกันประเทศ ประกอบกับฐานอำนาจของสาธารณรัฐที่ 5 มีบทบาทในฐานะผู้นำของประเทศเด่นชัดมากขึ้น
ความแตกต่างที่สำคัญอีกอย่าง ก็คือ การแบ่งแยกอำนาจบริหารกับอำนาจนิติบัญญัติ ทำให้รัฐบาลเป็นอิสระจากแรงกดดันของรัฐสภามากขึ้น วุฒิสภาก็มีความเป็นอิสระจากสภาผู้แทนฯ มากขึ้น (ซึ่งแต่เดิม สภาผู้แทนฯ สามารถเลือกสมาชิกวุฒิสภา 1 ใน 6 ของจำนวนทั้งหมด) เพราะมีฐานอำนาจจากการเลือกตั้งจากภูมิภาค จังหวัด และเทศบาล
การกำหนดรัฐธรรมนูญที่เน้นอำนาจบริหารมากขึ้น และวุฒิสภาก็ถ่วงดุลกับสภาผู้แทนราษฎรเช่นนี้เป็นผลงานของนายพล
เดอ โกล และพรรคการเมืองฝ่ายขวา และฝ่ายกลางซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้การเมืองฝรั่งเศสมีเสถียรภา
พมากขึ้นกว่าครั้งใดๆ ในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส
ในสาธารณรัฐที่ 4 ใช้ระบบการเลือกตั้งแบบอัตราส่วน ทำให้เกิดพรรคการเมืองมากมาย แต่ในสาธารณรัฐที่ 5 ใช้ระบบแบ่งเขต เขตละ 1 คน ให้มีการลงคะแนนเสียงได้ 2 ครั้ง ระบบนี้ทำให้จำนวนพรรคน้อยลง และยังทำให้ระบบการเมืองของฝรั่งเศสพัฒนาขึ้นไปมากกว่าภายหลังส
งคราม จำนวนพรรคการเมืองลดลงจากเดิมในปี ค.ศ.1956 ซึ่งมีพรรคการเมือง 16 พรรค ได้ลดลงเหลือ 5 พรรค ใน คศ.1967 จากแต่เดิมที่พรรคมุ่งหาอิทธิพลให้แก่พรรคตนเอง โดยไม่สามารถจะจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ในระบบใหม่พรรคเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้น และมุ่งจะจัดตั้งรัฐบาล
ประชาธิปไตยในประเทศไทย กับ ประชาธิปไตยแบบต่างๆในโลก
ในช่วงเวลาที่มีการนำมวลชนมาชุมนุมและเคลื่อนย้ายขบวนชุมนุมทาง
การเมืองไป ตามที่ต่างๆในกรุงเทพมหานครในสัปดาห์นี้นั้น ผู้ชุมนุมแสดงความเห็นทางการเมืองว่า “ประเทศไทยยังไม่มีประชาธิปไตย และต้องการประชาธิปไตยคืนมา” หมายความว่าเราเคยมีประชาธิปไตย แต่ว่าหายไป ตอนนี้ไม่มีแล้ว จึงมาชุมนุมประท้วงเพื่อทวงเอาประชาธิปไตยคืนมา ซึ่งหมายความต่อไปได้ว่าประชาธิปไตยหลบซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ไม่รู้ที่ไหน ยังหาไม่เจอ ฟังดูแล้วก็เหมือนง่ายที่จะมีประชาธิปไตย ง่ายที่จะปล่อยประชาธิปไตยให้หายไป และง่ายที่จะมาทวงถามตามคืนจากผู้อื่นที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้
เอา ประชาธิปไตยไปซ่อนไว้
ประชาธิปไตยไม่เกิด ง่ายหายง่าย ทวงคืนได้ง่ายๆ อย่างที่มวลชนฝ่ายทักษิณกล่าวเลย
ที่สำคัญ ความเป็นประชาธิปไตยที่อยู่ในตัวบุคคลไม่มีวันจะถูกใครอื่นทำให
้หายไปได้นอก จากตัวของตนเอง การทวงประชาธิปไตยคืนมาจากผู้อื่นจึงไม่มีผลต่อการเกิดหรือการม
ีประชาธิปไตย ในตัวของพลเมืองคนใดคนหนึ่งหรือทุกคน และถ้าพลเมืองแต่ละคนและทุกคนไม่มีความเป็นเป็นประชาธิปไตย ภาพรวมของสังคมก็จะสะท้อนการขาดคุณสมบัติประขาธิปไตย มากหรือน้อย ตามสัดส่วนของคุณภาพประชาธิปไตยในตัวพลเมือง
โดยประวัติศาสตร์ ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่โครงสร้างประชาธิปไตยมานา
นถึง 78 ปีแล้ว แม้จะมีการยึดอำนาจขัดจังหวะการพัฒนาประชาธิปไตยอยู่เป็นระยะๆ แต่ประเทศไทยอยู่ในระบบอประชาธิปไตยมาต่อเนื่องจนทุกวันนี้ แม้จะมีการวิพากษ์ว่าประชาธิปไตยของไทยไม่สมบูรณ์ เป็นประชาธิปไตยครึ่งใบบ้าง ประชาธิปไตยแบบไม่เต็มใบบ้าง ซึ่งคำวิจารณ์นี้ก็ชอบด้วยเหตุผลตามหลักวิชาการ เพราะในโลกนี้ไม่มีประชาธิปไตยแบบสมบูรณ์ หากแต่ประชาธิปไตยเป็นปรัชญาการเมืองที่ก่อกำเหนิดระบบการเมือง
การปกครองที่ วิวัฒนาการปรับแก้แปรผันไปตามกาลเวลาและเป็นไปตามสภาวะสังคมและ
วัฒนธรรมที่ นำระบบประชาธิปไตยไปทดลองใช้ในประเทศของตนเอง ประชาธิปไตยในโลกปัจจุบันจึงปรากฏรูปแบบมากมายหลากหลาย และยังคงวิวัฒนาการต่อไปอย่างไม่รู้จบ
เมื่อวิเคราะห์ด้วยหลักวิชาการว่าด้วยลัทธิ อุดมการณ์ และปรัชญาการเมือง สรุปได้ว่าประเทศไทยเป็นสมาชิกอาเซียนที่มีการปกครองแบบประชาธิ
ปไตยที่มี คุณภาพสูงในเชิงโครงสร้างทางการเมืองแบบประชาธิปไตยประเทศหนึ่ง
ตั้งแต่การมีรัฐธรรมนูญ การมีระบบรัฐสภาสองสภา การมีสถาบันทางการเมืองสำคัญแบ่งอำนาจหน้าที่กันทำงาน คือสถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) สถาบันบริหาร (รัฐบาล) และสถาบันตุลาการ (ระบบศาลยุติธรรม) มีพรรคการเมืองที่สามารถทำกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างเสรี นอกจากนั้นก็มีสถาบันตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเป็นองค์กรอิสระอีกห
ลายองค์กร เช่นศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองสูงสุด คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ฯลฯ ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในความเป็นอยู่ส
่วนตัว สิทธิเสรีภาพในการพูด แสดงความคิดเห็น การสื่อสารส่วนบุคคล และการสื่อสารมวลชน พลเมืองไทยมีสิทธิในการดูแลชุมชนท้องถิ่น มีการจัดการปกครองส่วนท้องถิ่นที่ก้าวหน้า รวมถึงการจัดการระบบภาษีอากรและงบประมาณของท้องถิ่นเอง การเลือกตั้งมีมากหลากหลายและบ่อยครั้ง ทั้งระดับชาติ และระดับท้องถิ่นทั้งหมดนี้หากมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากล ประชาชนก็มีสิทธิแสดงความไม่พอใจรัฐบาล หรือสภาท้องถิ่น ด้วยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งครั้งต่อไป ปฏิเสธรัฐบาลเดิมที่ตนไม่พอใจ เลือกพรรคการเมืองอื่นเข้าไปเป็นรัฐบาลได้ ทั้งหมดคือโครงสร้างและรูปแบบประชาธิปไตยของประเทศไทยผู้ก่อตั้
งอาเซียนมี ไว้แสดงต่อมิตรประเทศและชาวโลกว่า ประเทศไทยนั้นเป็นประชาธิปไตยที่ได้มาตรฐานสากล อยู่ในระดับแนวหน้าของอาเซียน
ในบรรดาสมาชิก 10 ประเทศของอาเซียน ประเทศที่มีการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ประเทศที่มีโครงสร้างและกิจกรรมทางการเมืองพื้นฐานดีกว่าชาติอื
่นก็คือ ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ รัฐสมาชิกอาเซียนที่เหลือกำลังอยู่ระหว่างวิวัฒนาการการเมืองกา
รปกครองและ สังคมของตนอยู่อย่างไม่เร่งร้อนนัก
ประเทศไทยมีโครงสร้างของระบอบประชาธิปไตยที่ได้มาตรฐาน หากแต่พลเมืองส่วนหนึ่งยังไม่ถึงมาตรฐานในเรื่องความรู้ความเข้
าใจ พลเมืองส่วนหนึ่งยังต่ำกว่ามาตรฐานว่าด้วยความรับผิดชอบและบทบา
ทหน้าที่ใน สังคมประชาธิปไตย การศึกษาจนได้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตยยังมีน้อย ไม่ว่าจะเรียนจบการศึกษาในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยมาได้ระดับสูง
ต่ำขนาดไหนก็ ตาม ความรู้และการศึกษาเรื่องประชาธิปไตยเป็นเรื่องของวิถีชีวิต หัวใจ และจิตวิญญาณ ใบวุฒิบัตรและปริญญามิใช่เครื่องวัดคุณภาพและมาตรฐานประชาธิปไต
ยในตัวบุคคล นี่คือปัญหาที่มองเห็นในตัวนักการเมือง ผู้นำทางการเมือง สมาชิกรัฐสภา และคณะรัฐมนตรี และยิ่งเห็นชัดเจนมากจากกลุ่มผู้นำมวลชนและมวลชนสนับสนุน พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่พากันมาชุมนุมประท้วงในกรุงเทพฯตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2553 เป็นต้นมา
เมื่อพิจารณาข้อเรียกร้องของกลุ่มมวลชนผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐม
นตรี ดร. ทักษิณ ชินวัตร โดยเฉพาะคำกล่าวอ้างจาก ดร.ทักษิณ เองในฐานะผู้นำมวลชน และคำปราศัยของคณะผู้นำมวลชนที่ควรจะมีพื้นฐานความรู้วิชารัฐศา
สตร์และ เรื่องประชาธิปไตยดีพอ กลับทำให้สงสัยว่าเหตุใดข้อเรียกร้องของมวลชนของ ดร. ทักษิณ ที่ถูกนำเสนอผ่านการแถลงและอภิปรายของผู้นำบนเวทีประท้วงจึงแสด
งถึงความไม่ รู้เรื่องประชาธิปไตย และไม่รู้แม้กระทั่งว่ากิจกรรมประท้วงที่ทำกันอยู่นั้นก็เป็นส่
วนหนึ่งของ กิจกรรมประชาธิปไตย แม้จะเป็นกิจกรรมประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์ เช่นสังคมชาติอื่นที่พัฒนาประชาธิปไตยไปมากกว่าจนกลายเป็นวิถีช
ีวิตวัฒนธรรม ประชาธิปไตยของพลเมืองไปแล้วอย่างแท้จริงก็ตาม
ในระบอบประชาธิปไตยนั้น การชุมนุมเพื่อประท้วง หรือเพื่อแสดงความเห็นที่แตกต่าง เป็นกิจกรรมที่กระทำได้และถือเป็นเรื่องปรกติ แต่การชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มมวลชนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการโ
ดยมิยอมเลิก รา แถมมีการข่มขู่ขีดเส้นตายด้วยนั้น มิใช่กิจกรรมที่เป็นประชาธิปไตย เพราะการแก้ปัญหาในสังคมประชาธิปไตยนั้น หากเจาจรหารือรอมชอมกันไม่ได้ หาฉันทามติไม่ได้ ก็ต้องใช้วิธีออกเสียงลงคะแนน ลงมติโดยยึดเสียงข้างมากเป็นหลัก หากเสียงข้างมากชนะก็ทำตามเสียงข้างมาก แต่ก็ยังคงดูแลผลประโยชน์และความทุกข์สุขของฝ่ายข้างน้อยต่อไป เพราะประชาธิปไตยเป็นกระบวนการทางการเมืองที่มุ่งหวังความสงบสุ
ขและความ เจริญยั่งยืนของทุกคนในสังคม
ข้อเรียกร้องที่ทำให้ไม่ได้เลยอย่างแน่นอนคือการเรียกร้องให้รั
ฐบาลยุบสภา และลาออกภายจำนวนวัน เวลา หรือชั่วโมงที่กำหนดเป็นเส้นตายพร้อมข่มขู่ว่าจะมีมาตรการตอบโต
้ที่เข้มข้น หรือแรงขึ้น หากรัฐบาลไม่ยุบสภาตามที่ผู้ชุมนุมข่มขู่เป็นเงื่อนไขไว้นั้น การกระทำเช่นว่านี้ ถือเป็นกิจกรรมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่เป็นกิจกรรมของผู้ใช้อำนาจเผด็จการโดยมวลชนที่ใช้อารมณ์เป็น
เครื่อง ตัดสินใจเท่านั้น รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยจะยุบสภาเพราะถูกมวลชนนอกสภาข่มขู่นั้
นย่อมทำไม่ ได้ เพราะรัฐบาลมีเสียงสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศจนได้เสี
ยงข้างมากใน สภาผู้แทนราษฎร รัฐบาลจึงต้องอยู่เพราะมีเสียงข้างมากของพลเมืองสนับสนุนอยู่ หากรัฐบาลยอมต่อผู้ชุมนุม ยอมลาออก ยอมยุบสภา ก็เท่ากับว่ารัฐบาลไม่เคารพประชาชนผู้มีเสียงมากกว่าเสียงของผู
้ชุมนุม ประท้วง แม้ว่าประชาชนเสียงข้างมากทั้งหลายจะมิได้ออกมาแสดงพลังจำนวนพล
เมืองประท้วง ให้เห็นบ้างก็ตาม เพราะพลเมืองสามารถแสดงความเห็นได้อีกหลายวิธีโดยไม่จำเป็นต้อง
จัดการชุมนุม ประท้วง ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องอธิบายหลักประชาธิปไตยนี้ให้กับมวลชนผู้ปร
ะท้วงให้ได้ รับรู้เป็นการเพิ่มพูนการศึกษาเรื่องประชาธิปไตยในหมู่มวลชนด้ว
ย หากเข้าใจประชาธิปไตยแล้วคราวหน้าหากจะมาประท้วงกันอีกก็จะได้ร
ู้ว่า การชุมนุมประท้วงนั้นเป็นวิธีหนึ่งในหลายๆวิธีที่จะแสดงความคิด
เห็น เมื่อแสดงแล้ว ฝ่ายตรงข้าม หรือฝ่ายรัฐบาลรับรู้แล้วแต่แก้ไขอะไรให้ไม่ได้ก็ควรจะพอใจที่ไ
ด้แสดงออก ซึ่งความคิดเห็นโดยเสรี แต่จะไม่มีสิทธิมาแสดงอาการโกรธเกรี้ยวและบุกทุบทำลายสิ่งสาธาร
ณะ หรือแม้กระทั่งพูดปราศรัยด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย เพราะการชุมนุมในระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่การชุมที่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงทั้งกาย วาจา และใจ แต่เป็นการชุมนุมที่ต้องการแสดงออกซึ่งความเห็นที่กลุ่มตนเห็นว
่าดีกว่า หรือแจ้งปัญหาที่เห็นว่าควรแก้ไข เท่านั้น หากต้องประสงค์การเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล หรือแก้ไขนโยบาย ก็ให้ทำผ่านผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคการเมืองที่ผู้ชุมนุมประท้วงส
นับสนุนหรือ สังกัดอยู่ด้วย ขณะเดียวกันพรรคการเมืองที่เป็นเสียงข้างน้อยในสภาและเป็นพวกเด
ียวกันกับมวล ชนผู้ประท้วงก็ควรที่จะรับเรื่องร้องเรียนทั้งหาลยจากผู้ประท้ว
งไปพัฒนาตน เอง พัฒนานโยบายของพรรคตนให้ประชาขนกลุ่มอื่นเพิ่มความเลื่อมใสศรัท
ธา เพื่อจะได้คะแนนเสียงเพิ่มมากขึ้นในการเลือกตั้งครั้งต่อไป หากใจร้อน ต้องการล้มรัฐบาลที่ตนไม่สนับสนุน หรือไม่ชอบ ก็ต้องใช้วิธีอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎร
เรื่องเหล่านี้เป็นพื้นฐานประชาธิปไตยในวิชารัฐศาสตร์เบื้องต้น
ซึ่งเป็นไปได้ที่มวลชนผู้ชุมนุมประท้วงส่วนหนึ่งอาจไม่ทราบ ไม่เข้าใจ เพราะไม่ได้รับการศึกษาเรื่องประชาธิปไตยมาก่อน แต่สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าจะสังกัดพรรดการเมืองอะไรก็ย่อมจะมีการศึกษา มีความรู้เรื่องประชาธิปไตยเป็นอย่างดี จึงเป็นหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนที่จะช่วยสร้างคุณภ
าพ ประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในหมู่มวลชนผู้สนับสนุนพรรคของตนให้ดีมา
กขึ้น
โดยภาพรวมแล้ว ประชาธิปไตยเป็นระบบการเมืองการปกครองที่โลกปัจจุบันนิยมใช้มาก
ที่สุด โดยยึดหลักปฏิบัติพื้นฐานคล้ายกัน คือมีโครงสร้างที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เป็นประชาธิปไตยแบบเลือกผู้แทนเข้าไปทำหน้าที่นิติบัญญัติในรัฐ
สภา และเลือกผู้แทนไปเป็นรัฐบาลในฝ่ายบริหารอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกันประชาชนก็อาจเข้ามีส่วนร่วมโดยตรงและโดยอ้อมในกิจกร
รมสาธารณะ ต่างๆได้ตามโอกาสและความประสงค์ของตน ประชาธิปไตยพื้นฐานยึดเสียงส่วนใหญ่เป็นเสียงสนับสนุนการตัดสิน
ในเรื่อง ต่างๆอันเป็นกิจกรรมสาธารณะ แต่ก็ยังใส่ใจดูแลเสียงข้างน้อยในสังคมอย่างเสมอภาคกัน เมื่อมีหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยแล้ว กาลเวลาผ่านไป การทดลอง ปรับปรุงแก้ไขกระบวนการประชาธิปไตยให้เหมาะสมกับสังคม วัฒนธรรม และวิถีชีวิต ในแต่ละประเทศก็วิวัฒนาการประชาธิปไตยไปจนมีรูปแบบที่แตกต่างหล
ากหลาย เป็นประชาธิปไตยแต่ชื่อก็มี เป็นประชาธิปไตยแบบเก่าก็มี แบบใหม่ แบบจำกัด แบบนำทาง สารพัดแบบ ดังนั้นการทำความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยจึงต้องยึดความตกลงร่ว
มกันก่อนดัง นี้ :
1. หลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยส่วนใหญ่จะเป็นแบบเดียวกัน
2. ประชาธิปไตยวิวัฒนาการไปตามองค์ประกอบแวดล้อมในต่างสังคมต่างวั
ฒนธรรมของแต่ ละประเทศ จึงปรากฏรูปแบบที่แตกต่างหลากหลาย
3. ประชาธิปไตยแบบแรกและดั้งเดิมที่สุดเกิดขึ้นที่นครรัฐเอเธนส์ ซึ่งปัจจุบันเป็นนครหลวงของประเทศกรีซ เป็นประชาธิปไตยแบบพลเมืองมีส่วนร่วมมากที่สุด
4. ประชาธิปไตยที่พัฒนาแล้วเป็นต้นแบบที่ควรศึกษาและทำตามอย่างหรื
อนำมาปรับใช้ เป็นประชาธิปไตยในยุโรปและอเมริกาเหนือ
5. ประชาธิปไตยในประเทศกำลังพัฒนาส่วนมากอยู่ในระหว่างทดลองปรับปร
ุงให้หมาะสม หากให้การศึกษากับประชาชนให้ดีพอก็จะสามารถมีการปกครองแบบประชา
ธิปไตยที่จะ นำทางสังคมและประเทศชาติไปสู่ความสงบและรุ่งเรืองยั่งยืนได้เร็
ว
6. สำหรับประเทศไทยนั้นการทดลอง ประชาธิปไตยมีอายุ 78 ปี ถือว่าเดินมาถูกทางแต่หนทางไม่ราบรื่น การศึกษาเรื่องประชาธิปไตยในหมู่ประชาชนต่ำ ผู้นำทางการเมือง ตลอดจนสมาชิกพรรคการเมือง ให้ความสำคัญเรื่องการศึกษาประชาธิปไตยน้อยกว่าการทำกิจกรรมทาง
เศรษฐกิจและ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 29, 2010, 11:39:11 am โดย idis-staff-02 »
บันทึกการเข้า
idis-staff-02
* Staff
* Hero Member
*
* ออฟไลน์
* กระทู้: 1204
*
*
รูปแบบต่างๆของประชาธิปไตย
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มี.ค. 29, 2010, 11:46:34 am »
รูปแบบต่างๆของประชาธิปไตย
ข้อมูลอ้างอิงทางวิชาการ
เพื่อให้ทุกฝ่ายมีฐานข้อมูลเพื่อการศึกษาและพัฒนาประชาธิปไตยต่
อ ขอนำสรุปความจากหนังสือ ของศาสตราจารย์ David Held ชื่อModels of Democracy (Thrid Edition, Polity Press, Cambridge ,UK, Malden, MA, U.S.A., , 2006) ที่ว่าด้วยรูปแบบต่างๆของประชาธิปไตยในโลก มาสรุปให้เห็นว่าอย่างน้อยๆการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไต
ยในโลก ปัจจุบันนี้มีมากถึง 13 แบบ ดังนี้ :
1. Classical Democracy
ประชาธิปไตยดั้งเดิม
หลักแห่งความชอบธรรม
• พลเมืองควรมีความเท่าเทียมกันทางการเมืองเพื่ออิสรภาพในการปกคร
องและถูก ปกครอง
คุณลักษณะสำคัญ
• พลเมืองมีส่วนร่วมโดยตรงในการบัญญัติกฎหมาย และ กระบวนการยุติธรรม
• สภาพลเมืองมีอำนาจอธิปไตยสูงสุด
• ขอบเขตอำนวจอธิปไตยสูงสุดของพลเมืองครอบคลุมกิจการของนครรัฐ
• หลากหลายวิธีการเลือกผู้แทนสำหรับตำแหน่งหน้าที่งานสาธารณะ (การเลือกตั้งโดยตรง, จับสลาก, หมุนเวียนตำแหน่ง)
• ปราศจากสิทธิพิเศษอันเป็นลักษณะแตกต่างระหว่างพลเมืองสามัญ กับ เจ้าหน้าที่รัฐ
• ยกเว้นตำแหน่งที่เกี่ยวกับการสงคราม บุคคลจะไม่ดำรงตำแหน่งสาธารณะมากกว่า 2 สมัย
• ช่วงระยะเวลาดำรงตำแหน่งสาธารณะสั้น
• มีค่าตอบแทนตำแหน่งสาธารณะ
เงื่อนไขทั่วไป
• นครรัฐขนาดเล็ก ดินแดนส่วนในเป็นพื้นที่การเกษตร
• เศรษฐกิจระบบทาส ทำให้พลเมืองมีเวลาว่าง
• มีคนทำงานบ้าน (แรงงานสตรี) บุรุษมีเวลาทำงานสาธารณะ
• จำกัดสิทธิการเป็นพลเมืองอยู่ในจำนวนน้อย
2. Protective republicanism
ประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐคุ้มครอง
หลักแห่งความชอบธรรม
• การมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นเงื่อนไขจำเป็นพื้นฐานของเสรีภาพข
องบุคคล; หากพลเมืองไม่ร่วมเป็นผู้ปกครองด้วยก็จะถูกอิทธิพลครอบงำโดยพลเ
มืองอื่น
คุณลักษณะสำคัญ
• ดุลยภาพแห่งอำนาจระหว่าง “ประชาชน”, ชนชั้นสูง ชนชั้นขุนนาง (aristocracy) และ สถาบันพระมหากัตริย์ เชื่อมโยงถึงรัฐธรรมนูญลักษณะผสม หรือรัฐบาลลักษณะผสม, โดยมีบทบัญญัติเอื้ออำนวยให้พลังอำนาจทางการเมืองระดับผู้นำมีบ
ทบาทนำ มากกว่าในสาธารณกิจ
• การมีส่วนร่วมของพลเมืองทำได้โดยผ่านหลากหลายกลไกที่เป็นไปได้ รวมทั้งการเลือกตั้งผู้แทนเข้าสู่สภาผู้ปกครอง
• กลุ่มต่างๆในสังคมแข่งขันกันส่งเสริม ผลักดัน และ ปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มตน
• มีเสรีภาพในการพูด การแสดงความคิดเห็น และการรวมกลุ่มสมาคม
• กฎแห่งการปกครองโดยกฎหมาย
เงื่อนไขทั่วไป
• ชุมชนเมืองขนาดเล็ก
• ทำนุบำรุงศาสนกิจ
• ประชาคมของผู้ประกอบศิลปาชีพและพาณิชย์การ
• สตรี ผู้ใช้แรงงาน ผู้ต้องพึ่งพาผู้อื่น ถูกแยกอยู่นอกกิจกรรมการเมือง (บุรุษมีโอกาสเพิ่มมากขึ้นในกิจการสาธารณะ)
• สมาคมทางการเมืองที่แข่งขันกันมีความขัดแย้งกันเข้มข้นมากขึ้น
3. Developmental Republicanism
ประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐพัฒนา
หลักแห่งความชอบธรรม
• พลเมืองต้องมีความเสมอภาคกันทางการเมือง และ เศรษฐกิจ เพื่อมิให้ผู้ใดเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่นใด ทุกคนสามารถบรรลุถึงความเท่าเทียมกันในการมีอิสรภาพ และ การพัฒนาตน ในกระบวนการตัดสินกำหนดตนเพื่อความดีงามอันเป็นส่วนรวม
คุณลักษณะสำคัญ
• แบ่งแยกหน้าที่การสาธรณกิจเป็น ฝ่ายนิติบัญญัติ และ ฝ่ายบริหาร
• การมีส่วนร่วมโดยตรงของพลเมืองในการประชุมสาธารณะถือเป็นสภานิต
ิบัญญัติ
• มติเอกฉันท์ต่อกิจการงานสาธารณะเป็นสิ่งพึงประสงค์ แต่ในกรณีที่มีความเห็นขัดแย้งก็พึงให้มีการออกเสียงลงคะแนนตัด
สินด้วยเสียง ข้างมาก
• ตำแหน่งงานฝ่ายบริหารเป็นของคณะข้าราชการและผู้บริหาร
• ผู้บริหารมาจากการแต่งตั้ง, เลือกตั้งโดยตรง หรือโดยการจับสลาก
เงื่อนไขทั่วไป
• เป็นชุมชนขนาดเล็กที่มิใช่ชุมชนอุตสาหกรรม
• กระจายความเป็นเจ้าของทรัพย์สินอย่างกว้างขวางในหมู่พลเมืองจำน
วนมาก; พลเมืองพึ่งการเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินส่วนบุคคล, เป็นประชาคมของผู้ผลิตอิสระ
4. Protective Democracy
ประชาธิปไตยแบบคุ้มครอง
หลักแห่งความชอบธรรม
• พลเมืองต้องได้รับการคุ้มครองจากการใช้อำนาจของผู้ปกครอง และจากพลเมืองด้วยกัน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้ทีทำหน้าที่ปกครองทำตามนโยบายที่ตกลงไว
้กับพลเมือง เพื่อผลประโยชน์ของพลเมืองโดยรวม
คุณลักษณะสำคัญ
• อำนาจอธิปไตยในที่สุดอยู่กับพลเมือง แต่มอบต่อให้ผู้เป็นตัวแทนไปบริหารงานอันเป็นกิจของรัฐด้วยความ
ชอบธรรม
• มีการเลือกตั้งเป็นประจำ ลงคะแนนแบบลับ กลุ่มต่างๆแข่งขันกัน มีศักยภาพในการก่อเกิดกลุ่มบุคคลซึ่งจะเป็นผู้นำ หรือพรรค, มีการปกครองโดยเสียงข้างมากเป็นสถาบันการปกครองพื้นฐาน เพื่อสถาปนาระบบการตรวจสอบได้ในเรื่องความชอบธรรมของผู้ทำหน้าท
ี่ปกครอง
• อำนาจรัฐต้องไม่เป็นเรื่องส่วนตัว เช่น ต้องให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย แบ่งกันระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และ ฝ่ายตุลาการ
• มีรัฐธรรมนูญเป็นแกนกลางในการประกันอิสรภาพจากการการปฏิบัติอัน
มิเป็นธรรม มีความเสมอภาคตามกฎหมาย ในรูปแบบของสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมือง หรือ เสรีภาพทางการเมือง และ เสรีภาพของพลเมือง เหนือเรื่องอื่นใด คือเรื่อง สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคกัน ในเรื่อง การพูด การแสดงความคิดเห็น การสมาคม การออกเสียงลงคะแนน และการดำรงไว้ซึ่งความเชื่อของตน
• แยก “รัฐ” ออกจาก “ประชาสังคม”, ตัวอย่างเช่น ภารกิจทั่วไปของรัฐคือการสร้างกรอบอันจะเอื้ออำนวยให้พลเมืองได
้ดำเนินชีวิต ส่วนตัวที่ปราศจากความเสี่ยงต่อความรุนแรง พฤติกรรมทางสังคมที่มิอาจเป็นที่ยอมรับได้ และการแทรกแซงทางการเมืองอันไม่เป็นที่พึงประสงค์
• มีกลุ่มศูนย์อำนาจ และ กลุ่มผลประโยชน์ แข่งขันกันชิงอำนาจรัฐ
เงื่อนไขทั่วไป
• ภาคประชาสังคมมีการพัฒนาถึงขั้นมีการเมืองปกครองที่ปกครองตนเอง
ได้
• ส่วนบุคคลครอบครองเครื่องมือการผลิต
• เศรษฐกิจแบบตลาดการแข่งขันเสรี
• ระบบการปกครองในครอบครัวแบบพ่อเป็นผู้ปกครอง
• รัฐขยายอาณาเขต
5. Develpomental Democracy
ประชาธิปไตยแบบพัฒนา
หลักแห่งความชอบธรรม
• การมีส่วนร่วมในวิถีชีวิตการเมืองเป็นเรื่องจำเป็น ไม่เพียงแต่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น แต่ก็ด้วยเพื่อการสรรสร้างการเป็นพลเมืองที่เปี่ยมด้วยข้อมูลข่
าวสารความรู้ มีความยึดมั่นพันผูกกับการพัฒนาตนเองและพัฒนาสังคมประชาธิปไตย การเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองเป็นเงื่อนไขจำเป็นพื้นฐานที่จะน
ำไปสู่การ ขยายขีดความสามารถของบุคคลสู่จุดสูงสุดอย่างมีสุนทรียภาพ
คุณลักษณะสำคัญ
• หลักอธิปไตยของปวงชนส่วนรวมโดยการมีสิทธิเสรีภาพเป็นสากล (พร้อมด้วยระบบการออกเสียงลงคะแนนตามระบบสัดส่วน (Proportional Representation – PR)
• รัฐบาลแบบผู้แทนปวงชน (เลือกตั้งผู้นำ, เลือกตั้งเป็นประจำ, ลงคะแนนเลือกตั้งแบบลับ, ฯลฯ)
• มีรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือกำหนดกรอบตรวจสอบ-สร้างขอบเขตจำกัด –และแบ่งสรรอำนาจรัฐ และเพื่อยืนยันการส่งเสริมสิทธิของงบุคคล และโดยเฉพาะที่เหนือสิ่งอื่นใดคือบรรดาการใดๆที่เกี่ยวโยงกับอิ
สรภาพในการ คิด การรู้สึก รสนิยม การถกเถียงเสวนา การพิมพ์ การผนวกรวมและการมุ่งมั่นในอันที่จะไปสู่แผนการเลือกดำเนินวิถี
ชีวิตอันหลาก หลายของบุคคล
• มีการแยกกันอย่างชัดเจนระหว่างการประชุมรัฐสภา กับ ระบบราชการสาธารณะ เช่น การแยกระหว่างหน้าที่การงานของผู้ที่ดำรงตำแหน่งที่มาจากการเลื
อกตั้ง กับ ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ชำนาญการเฉพาะเรื่อง ซึ่งทำหน้าที่นักบริหารกิจการสาธารณะ
• พลเมืองเข้าร่วมกกิจกรรมสาขาต่างๆของรัฐบาล โดยการออกเสียงลงคะแนน การมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในการปกครองส่วนท้องถิ่น การอภิปรายเรื่องนโยบายสาธารณะ และการบริการในกระบวนการยุติธรรม
เงื่อนไขทั่วไป
• ภาคประชาสังคมเป็นอิสระ โดยมีการแทรกแซงจากภาครัฐน้อยที่สุด
• เศรษฐกิจแบบตลาดการแข่งขันเสรี
• ส่วนบุคคลครอบครองเครื่องมือการผลิต คู่ขนานไปกับการทดลองระบบสหกรณ์ชุมชนเป็นเจ้าของเครื่องมือการผ
ลิต
• สตรีได้รับสิทธิและเสรีภาพ แต่ยังคงรักษาไว้ซึ่งระบบดั้งเดิมในการแบ่งหน้าที่การงานในครัว
เรือน
• ระบบชาติ-รัฐ ที่มีการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐดีแล้ว
6. Direct Democracy and the End of Politics
ประชาธิปไตยทางตรง สิ้นสุดการเมือง
หลักแห่งความชอบธรรม
‘การพัฒนาอย่างอิสระเสรีสำหรับคนทั้งหมด’ จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมี ‘การพัฒนาอย่างอิสระเสรีของบุคคล’ อิสรภาพจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสิ้นสุดการเอารัดเอาเปรียบ และในที่สุดจะต้องมีความเสมอภาคอย่างบริบูรณ์ในด้านการเมืองและ
เศรษฐกิจ ; ความเสมอภาคเท่านั้นที่จะประกันเงื่อนไขอันจะทำให้บรรลุซึ่งศัก
ยภาพในหมู่ มวลมนุษย์ เพื่อว่า “แต่ละคนจะสามารถบรรลุถึงขีดความสามารถของตน” (Each can give according to his ability)และ “รับสิ่งที่จำต้องใช้”(Receive what they need)
คุณลักษณะสำคัญ
Socialism | ลัทธิสังคมนิยม Communism | ลัทธิคอมมิวนิสต์
• คอมมูน หรือ สภา เป็นผู้จัดการกิจารสาธารณะ ใช้อำนาจบริหารจัดการตามลำดับชั้นในรูปแบบปีรามิด
• เจ้าหน้าที่รัฐบาล เจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย ผู้บริหาร จะต้องได้มาด้วยการเลือกตั้ง มีการจัดการเลือกตั้งบ่อยๆ ตามความเห็นพ้องต้องกันจากชุมชน และมีอำนาจการถอดถอนผู้ได้รับการเลือกตั้งออกได้
• เจ้าหน้าที่ผู้บริหารสาธารณกิจจะได้รับค่าตอบแทนไม่มากเกินค่าจ
้างแรงงาน ทั่วไป
• มีกองกำลังประชาชนทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองระบอบการเมืองใหม่ ภายใต้การกำกับดูแลของชุมชน
• ‘รัฐบาล’ และ ‘การเมือง’ ในทุกรูปแบบถูกแทนที่โดยการกำกับดูแลตนเองของประชาชน
• กิจการสาธารณะถูกปกครองดูแลโดยระบบคณะกรรมการ
• ถือ ‘ฉันทามติ’ เป็นหลักในการตัดสินใจประเด็นสาธารณะทั้งมวล
• จำแนกตำแหน่งหน้าที่การบริหารจัดการงานสาธารณะที่เหลือโดยการหม
ุนเวียน ตำแหน่ง หรือโดยการเลือกตั้ง
• กองกำลังติดอาวุธ และกองกำลังเพื่อการรุกรานถูกแทนที่ด้วยกระบวนการตรวจสอบตนเอง
เงื่อนไขทั่วไป
Socialism | ลัทธิสังคมนิยม Communism | ลัทธิคอมมิวนิสต์
• ชนชั้นแรงงาน (working class)มีเอกภาพ
• ชนชั้นกระฎุมพี (bourgeoisie-ชนชั้นกลาง-นายทุน-ขุนนาง-อำมาตย์) พ่ายแพ้
• สุดสิ้นสิทธิพิเศษทุกชนชั้น
• มีการพัฒนากำลังการผลิตมากอย่างเพียงพอเพื่อตอบสนองความจำเป็นพ
ื้นฐาน ประชาชนมีเวลาเหลือพอที่จะทำในสิ่งที่มิใช่กิจกรรมการผลิต
• รัฐและสังคมบูรณาการเข้าด้วยกันเพิ่มพูนมากขึ้นตามลำดับ
• ส่วนต่างๆของการเป็นชนชั้นสลายสิ้น
• กำจัดสิ้นซึ่งความขาดแคลนทั้งหลายของปัจจัยการผลิต กำจัดการมีทรัพย์สินส่วนตนทั้งมวลอันเป็นปัจจัยการผลิต
• กำจัดการตลาด การแลกเปลี่ยน และระบบเงินตรา
• สิ้นสุดการแบ่งแยกสังคมและแรงงาน
7. Competitve Elitist Democracy
ประชาธิปไตยโดยการแข่งขันของกลุ่มชนชั้นผู้นำในสังคม
หลักแห่งความชอบธรรม
• มีวิธีการเลือกสรรกลุ่มชนชั้นผู้นำทางการเมืองผู้มีทักษะความรู
้ความสามารถ และมีจินตนาการเพื่อการตัดสินใจทำในเรื่องการนิติบัญญัติและการ
บริหารจัดการ รัฐ
• สร้างระบบขัดขวางการนำทางการเมืองที่เกินขอบเขต
คุณลักษณะสำคัญ
• รัฐบาลโดยรัฐสภา เป็นฝ่ายบริหารที่เข้มแข็ง
• มีการแข่งขันระหว่างกลุ่มผู้นำทางการเมือง และ พรรคการเมืองต่างๆ
• รัฐสภาอยู่ใต้ระบบการควบคุมอำนาจโดยการเมืองระบบพรรคการเมือง
• ผู้นำทางการเมืองเป็นแกนกลางของอำนาจการนำทางรัฐ
• ระบบราชการ : มีคุณภาพ ได้รับการฝึกฝนอบรมอย่างดี และเป็นอิสระ
• ทั้งรัฐธรรมนูญ และการทำงานในภาคปฏิบัติจริง วางกรอบจำกัดไว้ให้ในเรื่อง ‘ขอบเขตที่ได้ประสิทธิผลในการตัดสินใจทางการเมือง’
เงื่อนไขทั่วไป
• สังคมอุตสาหกรรม
• ความขัดแย้งทางการเมืองและสังคม เป็นแบบกระจัดกระจายเป็นส่วนแยกย่อยหลายหลาก
• ประชากรผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้รับข่าวสารข้อมูลระดับต่
ำ และ/หรือ ใช้อารมณ์ตัดสินออกเสียงลงคะแนน
• วัฒนธรรมทางการเมืองที่ยอมรับได้ในความเห็นที่แตกต่างกัน
• การปรากฏของกลุ่มคนที่เป็นผู้ชำนาญการ นักบริหารจัดการ ผู้ซึ่งผ่านการฝึกฝนอบรมทางด้านเทคนิควิชาการมาอย่างดี
• มีการแข่งขันระหว่างรัฐเพื่อแย่งชิงอำนาจและความได้เปรียบในระบ
บระหว่าง ประเทศ
8.Pluralism
ประชาธิปไตยพหุนิยม (เคารพทุกเสียงในสังคม)
หลักแห่งความชอบธรรม
• มีรัฐบาลโดยเสียงข้างน้อยได้ ทำให้มีเสรีภาพทางการเมือง
• เป็นหลักการขวางกั้นการก่อเกิดกลุ่มที่มีอำนาจมากเกินและรัฐที่
ไม่ตอบสนอง ประชาชน
คุณลักษณะสำคัญ
• สิทธิการถือสัญชาติ หนึ่งคนหนึ่งเสียง อิสรภาพในการแสดงความคิดเห็น อิสรภาพในการจัดการรวมกลุ่มองค์กร สมาคม ฯลฯ
• ระบบตรวจสอบ ถ่วงดุล ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และฝ่ายข้าราชการ
• ระบบการเลือกตั้งที่มีการแข่งขันกัน โดยมีพรรคการเมืองอย่างน้อย 2 พรรค
Classic Pluralism | พหุนิยมดั้งเดิม Neo-Pluralism | พหุนิยมใหม่
• มีกลุ่มผลประโยชน์หลากหลายและทับซ้อนกันพยายามสร้างอิทธอิพลทาง
การเมือง
• รัฐบาลทำหน้าที่รอมชอม ตัดสินปัญหาความแตกต่างของข้อเรียกร้องจากกลุ่มต่างๆ
• รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด การปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเป็นฐานวัฒนธรรมทางการเมื
อง
• มีกลุ่มผลประโยชน์จำนวนมาก แต่วาระทางการเมืองโน้มเอียงไปทางการแสวงหาอำนาจของบรรษัทธุรกิ
จ
• รัฐ และส่วนองค์กรต่างๆของรัฐกำหนดผลประโยชน์ของส่วนตน
• รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด การปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญสะท้อนลักษณะหลากหลายของว
ัฒนธรรมทาง การเมือง และระบบที่มีความไม่เท่าเทียมกันอย่างมากของทรัพยากรทางเศรษฐกิ
จ
เงื่อนไขทั่วไป
Classic Pluralism | พหุนิยมดั้งเดิม Neo-Pluralism | พหุนิยมใหม่
• อำนาจถูกแบ่งสรรปันส่วนและแลกเปลี่ยนกันระหว่างหลายกลุ่มในสังค
ม
• ทรัพยากรรูปแบบต่างๆได้รับการจำแนกแจกจ่ายไปสู่ประชากรโดยทั่ว
• กระบวนการทางการเมืองได้รับความเห็นชอบในค่านิยมโดยฉันทามติ, มีนโยบายเป็นทางเลือกมากหลากหลาย และการเมืองมีขอบเขตแห่งความชอบธรรมกว้างขวาง
• มีดุลยภาพมากพอที่จะมีความมั่นคงทางการเมืองระหว่างพลเมืองที่เ
อาใจใส่แข็ง ขันในกิจการสาธารณะ กับ พลเมืองที่ไม่ใส่ใจนักในกิจการสาธารณะ • หลายกลุ่มแข่งขันชิงอำนาจกัน
• หลายกลุ่มที่มีทรัพยากรน้อยไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมื
องได้เต็มที่
• การกระกายอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ไม่เสมอภาคกันทำให้ทาง
เลือกทางการ เมืองมีจำกัด
• การเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองไม่เท่ากัน : รัฐบาลไม่เปิดกว้างพอสำหรับพลเมือง
• ระบบระหว่างประเทศถูกประนีประนอมกับพลังอำนาจของกลุ่มผลประโยชน
์เศรษฐกิจ ข้ามชาคิและรัฐที่ทรงอำนาจเหนือกว่า
9. Legal Democracy
ประชาธิปไตยนิติธรรม
หลักแห่งความชอบธรรม
• การเคารพเสียงข้างมากเป็นหลักการที่พึงปรารถนาและมีประสิทธผล เพื่อการปกป้องคุ้มครองบุคคลจากการใช้อำนาจโดยพลการของรัฐ และเพื่อผดุงไว้ซึ่งเสรีภาพ แม้กระนั้นก็ตาม วิถีชีวิตทางการเมืองซึ่งก็ทำนองเดียวกันกับวิถีชีวิตทางเศรษฐก
ิจนั้น หากจะให้บุคคลยังสามารถธำรงไว้ซึ่งอิสรภาพและความคิดริเริ่มสร้
างสรรค์ไปตาม ปรกติได้ การปกครองโดยเสียงข้างมากจะต้องถูกกำกับควบคุมและจำกัดให้อยู่ใ
นกรอบของ กฎหมาย ภายใต้เงื่อนไขของการปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้นที่หลักแห่งการเค
ารพเสียงข้าง มากจะทำงานได้อย่างฉลาดและและเป็นธรรม
คุณลักษณะสำคัญ
• มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐ (ตามต้นแบบและคุณลักษณะสำคัญของประเพณีนิยมทางการเมืองแบบอังกฤษ
-อเมริกัน)
• การเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย
• รัฐแทรกแซงประชาสังคมและชีวิตส่วนตัวของพลเมืองน้อยที่สุด
• สังคมเศรษฐกิจแบบการตลาดเสรีได

